ทำไมเราต้องมีเครื่องมือ AI ในการประเมินสุขภาพธุรกิจให้ยุ่งยากและซับซ้อน
- dithanon Khrutmuang
- Apr 22
- 2 min read
ทำไมเราต้องมีเครื่องมือ AI ในการประเมินสุขภาพธุรกิจให้ยุ่งยากและซับซ้อน ก็แค่การตัดสินใจลงทุน ทำไมเราไม่ใช้ประสบการณ์ที่มีในการตัดสินใจไปเลยทันที
สารบัญบทความ
ผมขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ในช่วงเดือนมีนาคมถึงวันที่ 2 เมษายน 2025 ซึ่งเป็นวันที่ โดนัล ทรัมป์ ประกาศสงครามการค้าหรือ Tariff กับคู่ค้ามากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ตลาด Nasdaq ลดลงไปประมาณ 20% คำถามคือสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไม่มีวันรู้ว่าราคาจะล่วงไปต่ำสุดที่ตรงจุดไหน และต่อให้ใช้ AI ที่เทรนมาฉลาดที่สุดในโลก AI ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้อย่างแม่นยำได้ เพราะปัจจัยที่ AI ไม่สามารถคาดการณ์ได้คือความคิดของโดนัล ทรัมป์ ว่าจะใช้มาตรการ Tariff รุนแรงแค่ไหน และ AI ไม่สามารถคาดการณ์ความอ่อนไหวของนักลงทุนทั่วโลกว่าจะตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น ซึ่งนั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่เกินกว่า AI จะคาดการณ์ราคาหุ้นได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมองข้ามความสามารถของ AI ในการประเมินความเสี่ยงภายในของนักลงทุน ซึ่ง Data ที่นำมาใช้ในการประเมินเป็นข้อมูลภายในระบบปิด มีปัจจัยที่ควบคุมได้มากกว่าปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นหากนำ AI มาใช้ประเมินความเสี่ยงภายในของนักลงทุน AI จะให้ผลคาดการณ์ที่แม่นยำ มีความคลาดเคลื่อนต่ำ แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ผู้ลงทุนต่อตลาดหุ้นหรือแม้แต่ธุรกิจมักสนใจเครื่องมือ AI ที่ใช้การ Predictive เหตุการณ์ภายนอก เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น หรือการใช้ AI ในการทำ Social listening สำหรับธุรกิจ ทั้งที่การใช้ AI ประเมินความเสี่ยงภายในของนักลงทุนเพื่อค้นหากลยุทธ์ที่เหมาะสม และการใช้ AI ประเมินสุขภาพธุรกิจ เช่น ค้นหาว่าสินค้าหรือบริการใดในธุรกิจของเรามีผลตอบแทนกำไรต่องบประมาณลงทุนสูงที่สุดหรือ ROI ซึ่งผลลัพธ์มีความแม่นยำและสำคัญมากกว่าการใช้ AI เพื่อประเมินสถานการณ์ภายนอกอย่างมีนัยสำคัญ
เรายังอยู่ในสถานการณ์จำลองตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงเดือนมีนาคมถึงวันที่ 2 เมษายน 2025 ซึ่งผมขอจำลองเป็นตัวผมเอง ที่มีเงินทุนในการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐอมริกาเท่ากันคือ 200,000 USD โดยมีข้อแม้ของการลงทุนในครั้งนี้คือ ห้ามนำเงินที่ต้องใช้ในการหมุนเวียนธุรกิจของผมมาเพิ่มเงินลงทุนในตลาดหุ้น
สถานการณ์แรก ผมไม่สนใจ AI ทั้งภายนอกและภายในเลย ผมแค่อ่านงบการเงินในบริษัทที่ผมจะลงทุนเป็นและเข้าใจว่าธุรกิจนี้ดีอย่างไร พอผมเห็นราคาหุ้นนี้ตามดัชนี Nasdaq ตกลงมาสัก 5% ผมก็รีบใช้เงินทั้งหมด 200,000 USD ลงไปในหุ้นตัวนี้ทันที เพราะคิดว่าราคาที่ปรับลงเป็นโอกาสดี แต่หลุมพลางก็มักมาพร้อมคู่กันกับโอกาส ในสถานการณ์นี้หุ้นผมจะลดลงไปทันทีประมาณ 15% เพราะเมื่อถึงวันที่ 2 เมษายน 2025 ซึ่งเป็นวันที่ โดนัล ทรัมป์ ประกาศสงครามการค้า ราคาหุ้นก็ล่วงลงมาจนถึงจุดที่ต่ำสุด ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่พลาดโอากาสลงทุนเพราะผมก็หมดเงินลงทุนในการซื้อหุ้นราคาถูกไปแล้ว
สถานการณ์ที่สอง นอกจากผมมีความรู้ด้านการอ่านงบการเงินและเข้าใจบริษัทที่จะลงทุนอยู่แล้ว ผมได้เพิ่มการใช้ AI ในการประเมินราคาและความเสี่ยง ว่าราคาหุ้นควรซื้อเท่าไหร่ แต่แน่นอนนี้คือปัจจัยภายนอกที่ยากเกินกว่าที่ AI จะประเมินราคาได้ถูกต้อง แต่อย่างน้อยในสถานการณ์นี้ ผมอาจใช้เงินลงทุนทั้งหมด 200,000 USD ไปตอนที่หุ้นราคาตกไปแล้วประมาณ 12% พร้อมทั้ง AI แนะนำให้ซื้อ ซึ่งนั้นก็ยังทำให้ผมพลาดโอกาสในการซื้อหุ้นที่ราคาถูกมากกว่า 20% ในวันที่ 2 เมษายนอยู่ดี
สถานการณ์สุดท้าย นอกจากผมมีความรู้เรื่องการอ่านงบการเงิน เข้าใจบริษัทที่จะลงทุน ใช้ AI ในการประเมินราคาหุ้น และผมยังเพิ่มการใช้ AI ในการประเมินความเสี่ยงทางการลงทุนของผมเอง ตัวอย่างเงิน 200,000 USD ที่ผมต้องการนำลงทุนในหุ้นแท้จริงแล้วเป็นตัวเลขที่ถูกตั้งขึ้นมาจากการใช้เครื่องมือ AI ในการประเมินความเสี่ยงภายในของนักลงทุน ที่เปรียบเสมือน Cash Flow ที่แสดงสุขภาพการเงินของนักลงทุนว่าผมจะสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนนี้ได้เท่าไหร่ เพราะอันที่จริงแล้วหากการใช้ AI ภายในประเมินสถานะการเงินของตัวเอง เราจะเข้าใจว่าเราไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นครั้งเดียวให้ครบทั้ง 200,000 USD โดยผมอาจตัดสินใจซื้อหุ้นโดยใช้เงิน 100,000 USD ไปก่อนเมื่อ AI แนะนำว่าราคาหุ้นต่ำกว่า 12% เป็นราคาที่ดีที่สุดจากการประเมินของ AI ในวันก่อนที่โดนัล ทรัมป์ ว่าจะใช้มาตรการ Tariff รุนแรง
และสุดท้ายเมื่อราคาหุ้นลดต่ำมา 20% ผมจึงยังใช้เงินลงทุนที่เหลืออีก 100,000 USD ในการซื้อหุ้นเพิ่มได้ คุณจะเห็นได้ว่าในสถานการณ์สุดท้ายสามารถสร้างความได้เปรียบการลงทุนด้วยงบลงทุนเท่ากันมากกว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ เพราะในสถานการณ์แรกและที่สองต่างมัวสนใจราคาตลาดหุ้นในช่วงเวลานั้น และมองว่านี้คือจังหวะการลงทุนที่ดีที่สุดแล้ว แต่ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งนักลงทุนหลายๆคนมักตกหลุมพลางที่แย่มากกว่าการซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์อะไรก็ได้ในโลกนี้ที่ราคาผิด นั้นคือการที่ไม่รู้จักสถานะของตัวเอง ซึ่งในตัวอย่างนี้คือจริงๆแล้วในสถานการณ์แรกและสถานการณ์ที่สอง ผมอาจไม่รู้จริงๆว่าที่จริงแล้วผมมีเงินลงทุนในหุ้นนี้เพียง 200,000 USD แต่วันที่ลงทุนผมอาจคิดว่าตัวเองควรมีเงินลงทุนมากกว่า 200,000 USD เพราะในวันนั้นผมเช็คแล้วว่าผมมีเงินในบัญชีธนาคารมากกว่า 500,000 USD แต่นั้นก็เป็นเพราะว่าผมไม่ได้ใช้ AI ในการประเมินความเสี่ยงของตัวเอง ว่าผมมีหนี้สินเชื่อ เงินเดือนพนักงานที่ต้องจ่ายเดือนนี้เท่าไหร่ มียอดคงค้างต่อ Supplier ในส่วนธุรกิจเท่าไหร่ หรือในทางการเงินคือ การเช็ค balance sheet ซึ่งทุกวันนี้สามารถใช้ AI เข้ามาช่วยจัดการทางการเงิน นั้นทำให้ผมที่ไม่ได้ใช้ AI ภายใน ซึ่งอันที่จริงเป็นข้อมูลที่ความคลาดเคลื่อนน้อย และได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่าการใช้ AI ไปคำนวณหาราคาสินทรัพย์ จำคำพูดของผมไว้เลยครับว่า สินทรัพย์ถูกไม่ได้สำคัญไปมากกว่าสถานะการเงินของเราเอง
โอกาสดีก็เป็นหลุมพลางทางธุรกิจได้
เพราะในแง่ธุรกิจคุณจะเห็นได้ว่ามีโอกาสมากมายเต็มไปหมด เช่น ที่ดิน คอนโด หลายคนเข้าไปถือสินทรัพย์เหล่านี้ และต่อให้นี้คือสินทรัพย์ดีที่ส่งผลดีต่อการลงทุนระยะยาว แต่หากตัวเจ้าของทรัพย์สินไม่ได้ประเมินความเสี่ยงในการถือสินทรัพย์นี้ก็อาจเกิดปัญหาทั้งเรื่อง Cash Flow ที่ไม่เพียงพอที่จะถือสินทรัพย์นี้ได้ระยะยาว
หรืออีกตัวอย่างที่เจ้าของธุรกิจที่ต้องการขยายสินค้าและบริการไปยังกลุ่ม Segment อื่น ซึ่งมองเห็นแต่โอกาสแต่ไม่เข้าใจความเสี่ยงของธุรกิจตัวเอง โดย Madhavan Ramanujam[1] ได้กล่าวในหนังสือของเขา (Monetizing Innovation) ไว้ว่า “Don't try to serve every segment” แต่ก็นั้นแหละครับเมื่อเราทำธุรกิจไปเราต่างต้องการเห็นธุรกิจของตัวเองเติบโต ขยายธุรกิจหรือบริการไปยัง Segment อื่น ๆ
ผมทิ้งคำถามสุดท้ายให้คุณตอบ ในขณะที่คุณตัดสินใจลงทุนเพราะมองเห็นโอกาส แต่คุณมีเครื่องมือวิเคราะห์สุขภาพธุรกิจของคุณก่อนการลงทุนหรือยัง

ความแตกต่างระหว่างมือสมัครเล่นกับมือโปร
เนื่องจากการลงทุนในหุ้นและการลงทุนในธุรกิจมีบางอย่างที่คล้ายกันมาก ผมจึงขอย้อนกลับมาที่การลงทุนในหุ้นเพื่อให้คุณภาพที่เข้าใจง่าย ซึ่งหากคุณคือเจ้าของธุรกิจที่ไม่เข้าใจตลาดหุ้นเลย ผมจะเล่าให้ฟังอย่างกระชับและเป็นความรู้รอบตัวที่ผมเชื่อว่าจะมีประโยชน์กับคุณเอง
ในตลาดหุ้นนักลงทุนจะต้องพยายามหาราคาที่เชื่อว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ลงทุนตัดสินใจได้ถูกต้องว่าในเวลานี้เราควรซื้อเพิ่มหรือขายออกดี
![รูป 2 : ราคาหุ้นจาก investing.com[3]](https://static.wixstatic.com/media/537055_667b2e66c96c42bfbd12c19e6141bb40~mv2.png/v1/fill/w_980,h_643,al_c,q_90,usm_0.66_1.00_0.01,enc_avif,quality_auto/537055_667b2e66c96c42bfbd12c19e6141bb40~mv2.png)
คุณจะเห็นได้ว่าเครื่องมืออย่าง Investing.com เราจำเป็นที่ต้องลงทุนในการ subscription เพื่อเพิ่มความมั่นใจต่อการลงทุนในตลาดหุ้น แต่อย่างที่บอกมาในขั้นต้นนั้นแหละครับ ถ้ามองว่า Investing.com
เป็น AI ภายนอกที่ใช้ในการหาราคาหุ้นที่เหมาะสมก่อนการลงทุน การใช้ AI ภายในเพื่อค้นหาความเสี่ยงที่เรารับได้จากการลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญกว่ามาก ซึ่งอันที่จริงแล้วคุณอาจไม่ต้องใช้ AI จริงๆเลยก็ได้ คุณอาจใช้เพียง Google Sheet ในการสร้างออกมาง่ายๆก็ได้ เพียงขอให้คุณมีเครื่องมือ Risk Management อยู่คู่ตัวคุณ เพื่อให้คุณกลับมาเช็คทุกครั้ง ก่อนการซื้อหุ้นว่าคุณสามารถรับความเสี่ยงต่อการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่แค่เพียงเช็คว่ามีเงินในบัญชีพอ เท่านี้คุณก็ดูเป็นมือโปรในตลาดหุ้นได้แล้วครับ
เช่นเดียวกันสำหรับธุรกิจ ผมอยากถามว่าคุณมีเครื่องมือ AI ในการประเมินสถานการณ์ภายนอกและภายในธุรกิจของคุณมากน้อยแค่ไหน หากคุณใช้แค่สัญชาตญาณคุณจะเป็น wantrepreneur โดย Paulo Andrez[2] ได้กล่าวในหนังสือ Zero Risk Startup ไว้ว่า “ A wantrepreneur is usually referred to as an aspiring entrepreneur who dreams to one day own one business but doesn’t take any significant action upon those plants, A similar concept is wannabe entrepreneur”
ถึงตรงนี้หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่ขนาดกลางขึ้นไป Power Ladder ของเราพร้อมเป็นที่ปรึกษาและเสนอแผนบริการที่เหมาะสมกับเป้าหมายธุรกิจของคุณในการสร้าง AI ให้ธุรกิจของคุณ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างแม่นยำผ่าน Data ไม่ใช้เพียงแต่อคติของตัวเอง
อ้างอิง
[1] Madhavan Ramanujam, Georg Tacke. Monetizing Innovation. p61. Wiley
[2] Paulo Andrez. Zero Risk Startup. p1.Forbes Books
รูป
[3] www.investing.com. 16 April 2025
Comments